ลอนดอน, 8 มกราคม 2568 /PRNewswire/ — สิงคโปร์กลับมาครองบัลลังก์หนังสือเดินทางที่ทรงพลังที่สุดในโลกอีกครั้ง โดยสามารถเดินทางโดยไม่ต้องขอวีซ่าได้ 195 จาก 227 แห่งทั่วโลก ทิ้งให้ญี่ปุ่นตามมาเป็นอันดับสอง เดินทางโดยไม่ต้องขอวีซ่าได้ 193 แห่ง ตามการจัดอันดับหนังสือเดินทางของเฮนลีย์ (Henley Passport Index) ประจำปี 2568 ซึ่งจัดอันดับหนังสือเดินทางทั้งหมด 199 ประเทศทั่วโลก โดยพิจารณาจากจำนวนจุดหมายปลายทางที่สามารถเดินทางเข้าได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าล่วงหน้า อ้างอิงข้อมูลอย่างเป็นทางการจากสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA)
หลาย ๆ ประเทศในสหภาพยุโรป (EU) ทั้งฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และสเปน ร่วงลงมาสองอันดับมาอยู่ในอันดับ 3 ร่วมกับฟินแลนด์และเกาหลีใต้ ซึ่งต่างมีอันดับลดลงไปหนึ่งขั้นในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา โดยปัจจุบันสามารถเดินทางไปยัง 192 จุดหมายปลายทางได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า ส่วนสมาชิกสหภาพยุโรป 7 ประเทศ ซึ่งทั้งหมดสามารถเดินทางเข้าได้ 191 จุดหมายปลายทางโดยไม่ต้องขอวีซ่า ได้แก่ ออสเตรีย เดนมาร์ก ไอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดน ครองอันดับ 4 ร่วมกัน ในขณะที่อีก 5 ประเทศ ได้แก่ เบลเยียม นิวซีแลนด์ โปรตุเกส สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร อยู่ในอันดับ 5 โดยสามารถเดินทางโดยไม่ต้องขอวีซ่าได้ 190 แห่ง
อัฟกานิสถานยังคงอยู่ท้ายสุดของการจัดอันดับนี้ โดยในปีที่ผ่านมาเสียสิทธิ์เดินทางโดยไม่ต้องขอวีซ่าไปอีก 2 จุดหมายปลายทาง ส่งผลให้เกิดช่องว่างด้านการเดินทางที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ 19 ปีของดัชนีนี้ เพราะชาวสิงคโปร์สามารถเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางได้มากกว่าผู้ถือหนังสือเดินทางชาวอัฟกานิสถานถึง 169 แห่ง ดร. Christian H. Kaelin ประธานบริษัท Henley & Partners กล่าวว่า "เราจำเป็นต้องทบทวนแนวคิดเรื่องสัญชาติและการเกิดมาพร้อมสิทธิ์ที่แตกต่างกันอย่างจริงจัง ในขณะที่อุณหภูมิโลกสูงขึ้น ภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้ชุมชนต่าง ๆ ต้องย้ายถิ่นฐานเพราะสภาพแวดล้อมไม่เอื้อต่อการอยู่อาศัย ในขณะเดียวกัน ความไม่มั่นคงทางการเมืองและความขัดแย้งทางอาวุธในภูมิภาคต่าง ๆ ก็บีบบังคับให้ผู้คนนับไม่ถ้วนต้องหนีจากบ้านเกิดเพื่อแสวงหาความปลอดภัยและที่พักพิง"
สำหรับประเทศอื่น ๆ ใน 10 อันดับแรกของดัชนีนี้ส่วนใหญ่เป็นประเทศในยุโรป ยกเว้นออสเตรเลีย (อันดับ 6 เดินทางได้ 189 จุดหมาย) แคนาดา (อันดับ 7 เดินทางได้ 188 จุดหมาย) สหรัฐอเมริกา (อันดับ 9 เดินทางได้ 186 จุดหมาย) และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอันดับเพิ่มขึ้นมากที่สุดในทศวรรษที่ผ่านมา โดยเดินทางได้เพิ่มขึ้นถึง 72 จุดหมายปลายทางนับตั้งแต่ปี 2558 ทำให้ขึ้นมาอยู่ในอันดับ 10 เดินทางโดยไม่ต้องขอวีซ่าได้ 185 จุดหมายปลายทางทั่วโลก
หนังสือเดินทางสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรติดกลุ่มร่วงแรงสุด
จากหนังสือเดินทางทั้งหมด 199 ประเทศทั่วโลก มีเพียง 22 ประเทศที่มีอันดับลดลงในดัชนีจัดอันดับหนังสือเดินทางของเฮนลีย์ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา น่าประหลาดใจที่ในช่วงปี 2558 ถึง 2568 นั้น สหรัฐอเมริการ่วงลงแรงเป็นอันดับสองรองจากเวเนซุเอลา โดยตกถึง 7 อันดับ จากอันดับ 2 มาอยู่อันดับ 9 ในปัจจุบัน วานูอาตูร่วงแรงเป็นอันดับสาม ตามด้วยหนังสือเดินทางอังกฤษซึ่งเคยอยู่อันดับหนึ่งในปี 2558 แต่ปัจจุบันอยู่อันดับ 5 และปิดท้าย 5 อันดับที่ร่วงแรงที่สุดด้วยแคนาดา ซึ่งตกลงมา 3 อันดับในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จากอันดับ 4 มาอยู่อันดับ 7 ในปัจจุบัน
ในทางกลับกัน จีนอยู่ในกลุ่มที่พุ่งขึ้นแรงที่สุด โดยขยับจากอันดับ 94 ในปี 2558 มาอยู่อันดับ 60 ในปี 2568 โดยมีจำนวนจุดหมายที่ไม่ต้องขอวีซ่าเพิ่มขึ้น 40 แห่ง และในแง่ของการเปิดรับประเทศอื่น ๆ นั้น จีนยังก้าวกระโดดขึ้นในดัชนีความเปิดกว้างของเฮนลีย์ (Henley Openness Index) ซึ่งจัดอันดับทั้ง 199 ประเทศทั่วโลกตามจำนวนสัญชาติที่อนุญาตให้เข้าประเทศได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าล่วงหน้า จีนให้สิทธิ์การเดินทางโดยไม่ต้องขอวีซ่าแก่อีก 29 ประเทศในปีที่ผ่านมาเพียงปีเดียว และปัจจุบันอยู่ในอันดับ 80 โดยอนุญาตให้ 58 ประเทศเข้าจีนได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า เทียบกับคู่แข่งอย่างอเมริกาที่อยู่อันดับ 84 และอนุญาตให้เพียง 46 ประเทศเท่านั้นที่เข้าประเทศได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า
Annie Pforzheimer นักวิจัยอาวุโสจากศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในวอชิงตัน ได้แสดงความเห็นในรายงานการเคลื่อนย้ายระดับโลกของเฮนลีย์ (Henley Global Mobility Report) ประจำปี 2568 ว่า "แม้แต่ก่อนที่จะเข้าสู่การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สองของทรัมป์ แนวโน้มทางการเมืองของอเมริกาก็หันเข้าหาตัวเองและแยกตัวออกจากนานาชาติอย่างเห็นได้ชัด ท้ายที่สุดแล้ว หากการขึ้นภาษีและการเนรเทศยังคงเป็นเครื่องมือนโยบายหลักของรัฐบาลทรัมป์ สหรัฐฯ จะไม่เพียงแต่มีอันดับลดลงในดัชนีการเคลื่อนย้ายเมื่อเทียบกับประเทศอื่นเท่านั้น แต่น่าจะตกลงในเชิงสัมบูรณ์ด้วย แนวโน้มนี้ประกอบกับการที่จีนเปิดประเทศมากขึ้นนั้น จะทำให้ซอฟต์พาวเวอร์ของเอเชียมีอิทธิพลมากขึ้นในระดับโลก"
ชาวอเมริกันนำโด่งด้านการขอสัญชาติที่สอง
พลเมืองสหรัฐฯ ครองสัดส่วนผู้สมัครขอสถานะพำนักถาวรและสัญชาติทางเลือกมากที่สุดในปัจจุบัน โดยคิดเป็น 21% ของการสมัครโครงการลงทุนเพื่อย้ายถิ่นฐานที่ Henley & Partners ได้รับมาทั้งหมดในปี 2567 ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงอย่างน่าตกใจ
ศ. Peter J. Spiro ผู้เชี่ยวชาญระดับแถวหน้าในด้านความเป็นพลเมืองสองประเทศ ให้ความเห็นในรายงานนี้ว่า "การกลับมาของทรัมป์ยิ่งตอกย้ำคุณค่าอีกด้านหนึ่งของการมีสิทธิ์พำนักถาวรหรือสัญชาติทางเลือก นั่นคือการประกันความเสี่ยงทางการเมือง คราวนี้เดิมพันสูงกว่าเดิม มีความรู้สึกว่าอะไรก็ตามที่ทรัมป์ต้องการ เขาจะได้ตามที่ต้องการ วาระทางการเมืองของเขาค่อนข้างผันผวน และชาวอเมริกันไม่สามารถมองข้ามประเด็นเรื่องเสถียรภาพได้อีกต่อไป ทรัมป์ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องคนนอกด้วย แทบจะแน่นอนว่าเขาจะรื้อฟื้น ‘คำสั่งห้ามเดินทาง’ อันเป็นที่โจษจันตั้งแต่ที่เริ่มเข้ามาเป็นรัฐบาลชุดใหม่เลย"