อิสตันบูล, ตุรกี, 4 พ.ย. 2567 /PRNewswire/ — วันนี้ ในงาน Ultra-Broadband Forum ครั้งที่ 10 หรืองาน UBBF ประจำปี 2567 คุณ Bob Chen ประธานสายธุรกิจผลิตภัณฑ์ออปติคอลของหัวเว่ย (Huawei) ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "Build AI-Centric F5.5G All-Optical Network for New Growth" (สร้างเครือข่ายออปติคอลล้วน F5.5G ที่เน้น AI เพื่อเติบโตไปอีกขั้น)
ยุค AI ได้มาถึงแล้ว โดยมีการพัฒนาโมเดลพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง และนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว จนถึงปัจจุบัน มีการใช้งานโมเดลพื้นฐานมากกว่า 1,300 โมเดล นอกจากนี้ AI ยังถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และรถยนต์ ซึ่งในอนาคตนั้น AI จะกลายเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ของอุปกรณ์ปลายทางต่าง ๆ AI ช่วยเราในการวางแผนการเดินทาง เขียนโค้ด และตรวจสอบคุณภาพ ในอนาคต AI จะเปลี่ยนแปลงทุกแง่มุมของการใช้ชีวิต การทำงาน และการผลิตของเรา
คุณ Bob Chen กล่าวว่าในยุค AI นั้น ผู้ให้บริการเครือข่ายบางรายจะปรับตัวเป็นผู้ให้บริการ AI แบบครบวงจร และบางรายจะร่วมมือกับบริษัทภายนอกเพื่อให้บริการด้านการประมวลผล AI และการใช้งาน AI สำหรับผู้ให้บริการเครือข่ายแล้ว การสร้างโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายที่แข็งแกร่งและ "เพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลด้วยเครือข่าย" จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จทางธุรกิจในยุค AI โดยการทำงานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์ AI กับคลาวด์ และการฝึกฝนการประมวลผลอัจฉริยะ จำเป็นต้องอาศัยแบนด์วิดท์เครือข่ายสูง ความหน่วงต่ำ และความน่าเชื่อถือสูง หัวเว่ยยังคงพัฒนานวัตกรรม F5.5G ในด้านการส่งสัญญาณออปติคอล การเข้าถึงระบบออปติคอล และแพลตฟอร์มการจัดการและควบคุม เพื่อช่วยให้ผู้ให้บริการเครือข่ายสร้างเครือข่ายออปติคอลล้วนที่เน้น AI
ในด้านการส่งสัญญาณออปติคอลนั้น เทคโนโลยีการสวิตช์สัญญาณออปติคอลชั้นนำของหัวเว่ยได้ขยายไปสู่ศูนย์ข้อมูล (DC) และเอดจ์ในเมือง ประการแรก การสวิตช์สัญญาณออปติคอลทำให้ศูนย์ข้อมูลสามารถรองรับการเพิ่มขึ้นทั้งด้านขนาดและประสิทธิภาพของการประมวลผล AI โซลูชันการสวิตช์สัญญาณออปติคอลสำหรับศูนย์ข้อมูลของหัวเว่ยนั้น รองรับการขยายการประมวลผลอัจฉริยะจาก 1,000 การ์ด เป็นหลายล้านการ์ด โดยอาศัยพอร์ตความหนาแน่นสูงและการใช้พลังงานที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับโซลูชันแบบดั้งเดิมแล้ว การติดตั้งแบบไม่ใช้โมดูลออปติคอลช่วยลดอัตราความล้มเหลวลงประมาณ 20% นอกจากนี้ การสวิตช์สัญญาณออปติคอลที่เอดจ์ในเมืองนั้น เปิดโอกาสให้หัวเว่ยช่วยให้ผู้ให้บริการเครือข่ายสร้างวงจรที่มีความหน่วงเวลา 1 มิลลิวินาที 5 มิลลิวินาที และ 10 มิลลิวินาที ผ่านเครือข่ายแบบเมช และการเชื่อมต่อแบบ one-hop ในลักษณะออปติคอลล้วนเพื่อการสวิตช์ออปติคอลล้วนแบบปลายทางถึงปลายทางจากเครือข่ายหลักไปยังเครือข่ายเมโทร เพื่อมอบประสบการณ์ AI ที่ดีที่สุด จนถึงปัจจุบัน มีผู้ให้บริการเครือข่ายมากกว่า 50 รายทั่วโลกที่ได้ขยายการสวิตช์แบบออปติคอลไปยังเอดจ์ในเมือง และสร้างเครือข่ายเมโทรระดับ 1 มิลลิวินาที
ในด้านการเข้าถึงแบบออปติคอล คุณ Bob Chen กล่าวว่า บรอดแบนด์แบบประจำที่ต้องให้บริการระดับพรีเมียม โดยการเชื่อมต่อด้วยใยแก้วนำแสงช่วยให้บรอดแบนด์แบบประจำที่สามารถมอบประสบการณ์บริการที่แน่นอนและมีการรับประกันสำหรับผู้ใช้ทุกราย ทั่วโลกมีรูปแบบการสร้างรายได้สำหรับบรอดแบนด์แบบประจำที่อยู่ 3 รูปแบบ ได้แก่ การสร้างรายได้จากพื้นที่ให้บริการ การสร้างรายได้จากแบนด์วิดท์ และการสร้างรายได้จากประสบการณ์การใช้งาน
ประการแรก การสร้างรายได้จากพื้นที่ให้บริการ ปัจจุบัน ผู้ใช้งานมากกว่า 28% ทั่วโลกยังไม่สามารถเข้าถึงการเชื่อมต่อใยแก้วนำแสง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเร่งขยายพื้นที่ให้บริการใยแก้วนำแสงเพื่อคว้าโอกาสจากการเติบโตของประชากร โซลูชันของหัวเว่ย เช่น QuickConnect ODN และ AirPON สำหรับทุกสถานการณ์ สามารถช่วยให้ผู้ให้บริการเครือข่ายสร้างโครงข่ายได้อย่างรวดเร็วและมีต้นทุนต่ำ
ประการที่สอง การสร้างรายได้จากแบนด์วิดท์ หนึ่ง ผู้ให้บริการเครือข่ายบางรายได้ติดตั้งบรอดแบนด์ใยแก้วนำแสงแล้ว แต่แพ็กเกจมีความเร็วเพียงไม่กี่สิบ Mbps ส่งผลให้ปลดปล่อยศักยภาพของใยแก้วนำแสงได้ไม่เต็มที่ ดังนั้น เราจึงแนะนำให้ค่อย ๆ อัปเกรดแพ็กเกจเพื่อให้บริการบรอดแบนด์ที่แข่งขันได้มากขึ้น สอง ผู้ให้บริการบางรายเสนอแพ็กเกจระดับกิกะบิต แต่ประสบการณ์การใช้งานยังไม่ดีและมักเกิดปัญหาวิดีโอกระตุก สาเหตุหลักเป็นเพราะใช้ GPON ในการให้บริการแพ็กเกจระดับกิกะบิต ดังนั้น จึงควรรีบอัปเกรดจาก GPON เป็น 10G PON โดยเร็วที่สุดเพื่อมอบประสบการณ์เครือข่ายที่ดีขึ้น
ประการสุดท้ายคือการสร้างรายได้จากประสบการณ์การใช้งาน ปัจจุบัน ภาคอุตสาหกรรมมีความเห็นตรงกันเกี่ยวกับการพัฒนาจาก FTTH ที่ใช้ใยแก้วหนึ่งเส้น ไปสู่ FTTR ที่ใช้หนึ่งเครือข่าย การเชื่อมต่อแบบ FTTR มอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนได้ทุกที่ทุกเวลา จนถึงปัจจุบัน จำนวนผู้ใช้ FTTR ทั่วโลกมีมากกว่า 30 ล้านราย นอกจากนี้ หัวเว่ยกำลังเร่งพัฒนานวัตกรรมและอัปเกรด FTTR+X เพื่อช่วยผู้ให้บริการเครือข่ายสร้างสรรค์การใช้งาน AI รูปแบบใหม่ ๆ รวมถึง AI พร้อมการจัดเก็บข้อมูล การรักษาความปลอดภัยบ้าน และการดูแลสุขภาพ โดยมีเป้าหมายสูงสุดเพื่อสนับสนุนบ้านอัจฉริยะหนึ่งหลังบนเครือข่าย FTTR หนึ่งเครือข่าย
สำหรับแพลตฟอร์มการจัดการและควบคุมนั้น หัวเว่ยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลทวินและโมเดล AI พื้นฐาน เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานและประสิทธิภาพการปฏิบัติงานและบำรุงรักษา (O&M) ของโซลูชันบรอดแบนด์พรีเมียมและการส่งสัญญาณพรีเมียม โซลูชันบรอดแบนด์พรีเมียมของหัวเว่ยใช้ระบบค้นหาจุดบกพร่องอัตโนมัติ เพื่อวินิจฉัยความผิดปกติของเครือข่ายในระดับนาที และแก้ไขปัญหาคุณภาพประสบการณ์ (QoE) เชิงรุก ช่วยลดการร้องเรียนจากผู้ใช้ลง 30% ส่วนโซลูชันการส่งสัญญาณพรีเมียมใช้ระบบวางแผนออนไลน์อัตโนมัติ ช่วยลดระยะเวลาในการให้บริการใหม่ (TTM) จากหลายเดือนเหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมง
"ทศวรรษหน้าจะเป็นยุคแห่งการแพร่หลายอย่างรวดเร็วของ AI" คุณ Bob Chen กล่าว "หัวเว่ยหวังที่จะร่วมมือกับพันธมิตรในอุตสาหกรรม เพื่อสร้างเครือข่ายออปติคอลล้วน F5.5G ที่เน้น AI โดยขยายการสวิตช์แบบออปติคอลไปยังศูนย์ข้อมูลและเอดจ์ในเมือง สร้างเครือข่ายพรีเมียมสำหรับการเข้าถึงระบบออปติคอลผ่านการสร้างรายได้จากพื้นที่ให้บริการ แบนด์วิดท์ และประสบการณ์การใช้งาน รวมทั้งผนวกความสามารถด้าน AI เข้ากับแพลตฟอร์มการจัดการและควบคุมอย่างเต็มรูปแบบ แนวทางเช่นนี้เปิดโอกาสให้เราเร่งการแพร่หลายของ AI และสร้างการเติบโตทางธุรกิจใหม่ร่วมกันในยุคอัจฉริยะ!"