ท่ามกลางประชากรในเอเชียที่มีอายุมากขึ้น คนรุ่นใหม่ต่างเกษียณอายุช้าลงเพื่อออมเงินมากขึ้น
- ผู้เกษียณอายุในปัจจุบันเกือบหนึ่งในสี่รู้สึกเสียดายเกี่ยวกับการตัดสินใจทางการเงินในอดีต โดยสาเหตุหลักคือการออมเงินไม่เพียงพอ (66%) รองลงมาคือลงทุนไม่เพียงพอ (52%) และไม่มีการวางแผนค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล (34%)
- ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบ 60% จะวางแผนค่าใช้จ่ายหลังเกษียณอายุก่อนเกษียณอายุจริงภายใน 5 ปี
- ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีอายุน้อยกำลังปรับเปลี่ยนความคาดหวังเนื่องจากความท้าทายที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการเลื่อนแผนเกษียณออกไป โดยมีสาเหตุหลักคือความจำเป็นต้องออมเงินเพิ่มขึ้น (61%) ความต้องการมีกิจกรรมทำ (49%) การมีความสุขกับการทำงาน (46%) และค่าครองชีพที่สูงขึ้น (43%)
ฮ่องกง, 3 ตุลาคม 2567 /PRNewswire/ — ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงด้านประชากรอย่างมีนัยสำคัญ โดยเกือบหนึ่งในสี่ของประชากรจะมีอายุมากกว่า 60 ปีภายในปี 25931 การวิจัยใหม่ของ Sun Life Asia ได้เผยให้เห็นถึงความท้าทายและโอกาสในการวางแผนการเกษียณอายุทั่วทั้งภูมิภาค
งานวิจัยที่มีชื่อว่า มองการเกษียณอายุใหม่: เผชิญหน้ากับอนาคตอย่างมั่นใจ (Retirement Reimagined: facing the future with confidence) ได้สำรวจความคิดเห็นจากผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 3,500 คนในจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม เกี่ยวกับความคาดหวังและวิธีการวางแผนของพวกเขาในการเตรียมตัวเข้าสู่วัยชรา
คนส่วนใหญ่ขาดความพร้อมในการรับมือกับความเป็นจริงทางการเงินหลังเกษียณอายุ
งานวิจัยเผยให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นในการมีความมั่นคงทางการเงินแบบพึ่งพาตนเองได้ในวัยชรา เนื่องจากแผนการเกษียณอายุกำลังเปลี่ยนจากการพึ่งพาสวัสดิการจากรัฐและครอบครัว มาสู่การให้ความสำคัญกับการออมและการลงทุนส่วนบุคคล การออมเพื่อการเกษียณถูกระบุว่าเป็นเป้าหมายทางการเงินอันดับหนึ่งในช่วง 12 เดือนข้างหน้าสำหรับทุกกลุ่มอายุที่ทำการสำรวจ อย่างไรก็ตาม หลายคนยังไม่พร้อมที่จะรับมือกับความเป็นจริงทางการเงิน โดย 59% จะเลื่อนการวางแผนค่าใช้จ่ายสำหรับเกษียณอายุออกไปจนถึง 5 ปีหรือน้อยกว่านั้นก่อนเกษียณ และกลุ่มที่น่ากังวลว่าอีก 14% จะไม่วางแผนเรื่องนี้เลย
David Broom ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายลูกค้าและการจัดจำหน่ายของ Sun Life Asia กล่าวว่า "ภูมิทัศน์ของการเกษียณอายุในเอเชียกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก อันเป็นผลมาจากอายุขัยที่ยืนยาวขึ้นและบรรทัดฐานทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป งานวิจัยของเราแสดงให้เห็นว่า แม้ความมั่นคงทางการเงินแบบพึ่งพาตนเองได้จะถูกมองว่าเป็นรากฐานสำหรับการเกษียณอายุที่มีคุณภาพ แต่หลายคนยังคงไม่พร้อมรับมือกับความเป็นจริงที่กำลังจะเกิดขึ้น การวางแผนตั้งแต่เนิ่น ๆ และการออมอย่างมีวินัยจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้สามารถใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างมั่นใจ"
แม้ว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่จะออมเงินอย่างน้อย 10% ของรายได้เพื่อการเกษียณอายุ แต่ก็เป็นที่น่าตกใจว่ามีถึง 23% ที่ยังไม่มีการออมเงินใด ๆ เมื่อถามถึงแหล่งที่มาของรายได้ที่วางแผนไว้สำหรับการเกษียณอายุ คำตอบเฉลี่ยคือ 25% ของรายได้จะมาจากเงินสดที่ออมไว้ ตอกย้ำถึงโอกาสที่อาจพลาดไปในการเพิ่มรายได้หลังเกษียณอายุผ่านการลงทุนและการตามอัตราเงินเฟ้อให้ทัน
ผู้เกษียณอายุไม่ทันตั้งตัวกับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น และรู้สึกเสียดายที่เตรียมตัวไม่เพียงพอ
เพื่อเตือนใจคนรุ่นหลัง ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า 26% ของผู้เกษียณอายุยอมรับว่าตนไม่ได้วางแผนค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ ส่งผลให้ 20% ของผู้เกษียณรู้สึกไม่พร้อมเมื่อเผชิญกับค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าที่คาดไว้ ขณะที่ตัวเลขนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผู้เกษียณอายุที่ไม่ทันตั้งตัวกับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น สาเหตุสำคัญคือค่าครองชีพทั่วไป (76%) และค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ (51%) โดยมีหลายคนถูกบังคับให้ลดค่าใช้จ่าย (73%) และขายสินทรัพย์การลงทุน (29%) เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้
ผู้เกษียณอายุประมาณ 23% รู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจทางการเงินในอดีต โดยสาเหตุหลักคือการออมเงินไม่เพียงพอ (66%) ตามมาด้วยการลงทุนไม่เพียงพอ (52%) และการไม่วางแผนค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ (34%)
คนรุ่นใหม่กับความคาดหวังที่เปลี่ยนไป: การเกษียณช้าลงและออมเงินให้มากขึ้น
เป็นที่น่าสนใจว่า ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีอายุน้อยกำลังตระหนักถึงความท้าทายที่กำลังจะเกิดขึ้น ส่งผลให้ความคาดหวังเปลี่ยนตามไป โดยผู้ที่ยังทำงานในปัจจุบันคาดว่า ตนเองจะเกษียณเฉลี่ยที่อายุ 64 ปี ซึ่งช้ากว่าค่าเฉลี่ยของวัยเกษียณในปัจจุบันถึง 5 ปี (59)
ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่ยังไม่ได้เกษียณอีก 17% เลื่อนแผนการเกษียณอายุออกไปอย่างจริงจัง ขณะที่มีเพียง 8% ของผู้ที่เกษียณแล้วที่ทำเช่นเดียวกัน สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในสภาพเศรษฐกิจและสถานการณ์ส่วนบุคคล สาเหตุหลักที่ทำให้การเกษียณถูกเลื่อนออกไป ได้แก่ ความจำเป็นต้องออมเงินเพิ่มขึ้น (61%) ความต้องการมีกิจกรรมทำ (49%) การมีความสุขกับการทำงาน (46%) และค่าครองชีพที่สูงขึ้น (43%)
ผู้ที่คาดว่าจะเกษียณอายุในภายหลังมีแนวโน้มที่จะยกให้ค่าครองชีพที่สูงขึ้นเป็นสาเหตุหลัก (46%) มากกว่าผู้เกษียณในปัจจุบันที่เลื่อนการออกจากงาน ซึ่งมีสัดส่วนที่ 19%
กลุ่ม Gold Star มองการเกษียณด้วยความหวัง ขณะที่กลุ่ม Retirement Rebels ยังต้องดิ้นรนต่อไป
ผลสำรวจยังเผยให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างสองกลุ่มที่แตกต่างกัน: "Gold Star" หรือผู้ที่วางแผนการเกษียณอายุอย่างดีเยี่ยม และ "Retirement Rebels" หรือผู้ที่ไม่มีแผนเลย โดยกลุ่ม Gold Star มีการวางแผนค่าใช้จ่ายล่วงหน้ามากกว่าห้าปีก่อนเกษียณ และออมเงินไว้สำหรับเกษียณมากกว่า 10% ของรายได้ และได้รับความคุ้มครองอย่างดีจากผลิตภัณฑ์ประกันและเงินบำนาญ
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม Gold Star กับกลุ่ม Retirement Rebels ซึ่งไม่มีประกันและเงินบำนาญ และไม่มีการวางแผนและการออมที่เพียงพอในช่วงเกษียณพบว่า กลุ่ม Gold Star ที่เกษียณแล้วมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายไม่เกินค่าใช้จ่ายที่คาดไว้ (73% เทียบกับ 31%) และมีแนวโน้มที่จะเสียดายกับการตัดสินใจทางการเงินหลังเกษียณน้อยกว่า (14% เทียบกับ 40%)
กลุ่ม Gold Star ยังมีแนวโน้มที่จะปรึกษาแหล่งข้อมูลมืออาชีพเกี่ยวกับการวางแผนการเกษียณอายุมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงินหรือที่ปรึกษาอิสระ และพวกเขามีความมั่นใจในสุขภาพและการเงินของตนเองมากขึ้นในช่วงหลังเกษียณ
เมื่อพิจารณาจากทุกกลุ่มแล้ว ความปรารถนาสูงสุดในการเกษียณอายุคือการใช้เวลาที่มีคุณภาพร่วมกับครอบครัวและเพื่อนฝูง (35%) รองลงมาคือโอกาสในการหลีกหนีจากงานประจำและการได้หยุดพักผ่อน (22%) และการเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลก (18%) ขณะที่ความกังวลสูงสุดที่เกี่ยวข้องกับช่วงหลังเกษียณคือปัญหาสุขภาพและการเสื่อมถอยของร่างกาย (59%) ซึ่งเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อความฝันเหล่านี้
David Broom ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายลูกค้าและการจัดจำหน่ายของ Sun Life Asia กล่าวว่า "การดูแลความเป็นอยู่ที่ดีของประชากรผู้สูงอายุที่กำลังเพิ่มมากขึ้นเป็นความท้าทายร่วมกันในชุมชนของเรา สุขภาพซึ่งเป็นเสาหลักที่สำคัญที่สุดยังคงมีความเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้กับความมั่นคงทางการเงิน การทำงานที่มีประสิทธิผล และการมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับครอบครัวและชุมชน เรามีโอกาสที่ไม่เหมือนใครในการกำหนดนิยามใหม่ให้แก่การเกษียณอายุอย่างมั่นคงและมีสุขภาพดี ซึ่งหมายถึงการทำให้ผู้คนมีความมั่นใจหลังการเกษียณงานของพวกเขาด้วยแผนการเงินเชิงรุก"
เกี่ยวกับ Sun Life
Sun Life เป็นองค์กรบริการทางการเงินระหว่างประเทศชั้นนำที่ให้บริการโซลูชันด้านการจัดการสินทรัพย์ ความมั่งคั่ง การประกันภัย และสุขภาพแก่ลูกค้ารายบุคคลและลูกค้าสถาบัน Sun Life ดำเนินธุรกิจในตลาดหลายแห่งทั่วโลก ประกอบด้วยแคนาดา, สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, ไอร์แลนด์, ฮ่องกง, ฟิลิปปินส์, ญี่ปุ่น, อินโดนีเซีย, อินเดีย, จีน, ออสเตรเลีย, สิงคโปร์, เวียดนาม, มาเลเซีย และเบอร์มิวดา ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 Sun Life มีสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหารอยู่ที่ 1.46 ล้านล้านดอลลาร์ เรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.sunlife.com
Sun Life Financial Inc. เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โทรอนโต (TSX), นิวยอร์ก (NYSE) และฟิลิปปินส์ (PSE) ภายใต้สัญลักษณ์ย่อ SLF
ติดต่อฝ่ายสื่อสัมพันธ์:
Iris Ng
ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีลูกค้า Sandpiper
โทร: +85298383501
Iris.ng@sandpipercomms.com
Becky Marshall
ผู้อำนวยการ ฝ่ายสื่อสาร Sun Life Asia
โทร: +8526170312
Becky.marshall@sunlife.com
1 ที่มา: Asian Development Bank: https://www.adb.org/what-we-do/topics/social-development/aging-asia